นับตั้งแต่ก่อตั้ง ฮอนด้าไม่เพียงแต่เป็นผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น แต่ยังทิ้งร่องรอยไว้อย่างไม่มีวันลบเลือนให้กับโลกแห่งมอเตอร์สปอร์ตอีกด้วย จากรถจักรยานยนต์ไปจนถึง Formula 1 การเดินทางของฮอนด้าในการแข่งรถเป็นเรื่องราวของนวัตกรรม ความอุตสาหะ และการแสวงหาความเป็นเลิศในสนามแข่งอย่างไม่หยุดยั้ง จุดเริ่มต้นสองล้อ การรุกเข้าสู่วงการมอเตอร์สปอร์ตของ ฮอนด้าเริ่มต้นจากการใช้สองล้อ ในช่วงทศวรรษ 1960 บริษัทได้ก้าวเข้าสู่การแข่งขันรถจักรยานยนต์อย่างกล้าหาญ โดยครองตำแหน่ง Isle of Man TT และกิจกรรมอันทรงเกียรติอื่นๆ ซีรีส์ฮอนด้า RC อันเป็นเอกลักษณ์ รวมถึง RC161 และ RC166 ในตำนาน แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการก้าวข้ามขีดจำกัดของความเร็วและสมรรถนะ อำนาจวาสนาสูตร 1 การเปลี่ยนผ่านของฮอนด้าจากสองล้อเป็นสี่ล้อนั้นเกิดจากการเข้าสู่สูตร 1 ในทศวรรษ 1960 ความร่วมมืออันโดดเด่นกับทีม McLaren ในช่วงปลายยุค 80 ทำให้เกิดยุคแห่งความสำเร็จที่ไม่มีใครเทียบได้ ด้วยการที่ Ayrton Senna และ Alain Prost อยู่หลังพวงมาลัย McLarens ที่ขับเคลื่อนโดยฮอนด้าคว้าแชมป์ได้มากมาย ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นในประวัติศาสตร์ Formula 1 ยุค VTEC
ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ประเทศไทยเราจะมีนักแข่งรถสูตรหนึ่งหรือฟอร์มูล่าวันสักคนหนึ่ง แต่ในขณะนี้เราก็ได้มีนักแข่งที่เป็นสัญชาติไทยก้าวไปอยู่ในการแข่งรถประเภทนี้เป็นที่เรียบร้อย แถมยังอยู่กับทีมระดับโลกสัญชาติไทยอย่างเรดบูลล์ เรซซิ่งอีกด้วย และเมื่อเร็ว ๆ นี้เจ้าตัวก็สร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีช ที่ถือเป็นผลงานระดับที่เรียกว่าเป็นการจารึกประวัติศาสตร์ของประเทศไทยบนโลกแข่งรถสูตรหนึ่งเลยทีเดียว แน่นอนว่าชายที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ก็คือ อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์ นักแข่งหนุ่มลูกครึ่งไทย-อังกฤษนั่นเอง ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ในการแข่งขันรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลก 2020 สนามที่ 9 รายการทัสคานี่ เฟอร์รารี่ 1000 กรังด์ปรีที่สนามมูเจลโล เซอร์กิต เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี “อัลบอน” สามารถควบรถคู่ใจ RB16 ตามลูอิส แฮมิลตันและวัลเทอร์รี่ บอตทาสสองนักแข่งจากเมอร์ซิเดส เข้าป้ายมาเป็นอันดับที่สามได้สำเร็จ และมันก็ทำให้ทำให้วันที่ 13 กันยายน 2563 ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นครั้งแรกที่ธงไตรรงค์ของประเทศไทยได้โบกสะบัดเหนือโพเดียมการแข่งรถสูตรหนึ่ง และเป็นนักแข่งจากประเทศที่ 29 ที่สามารถขึ้นไปอยู่บนโพเดียมได้ ซึ่งมันเกิดขึ้นหลังจากการแข่งขันฤดูกาลนี้เป็นสนามที่ 8 เท่านั้นเอง โดยในส่วนของเจ้าตัวอัลบอนเองก็ได้ออกมาบอกว่าการสามารถคว้าโพเดียมมาได้ในครั้งนี้ มันเป็นความภูมิใจที่สุดในชีวิตที่ทำให้ธงชาติไทยขึ้นไปโบกเหนือโพเดียมของการแข่งขันรถสูตรหนึ่งได้ และยังหวังอีกว่าความสำเร็จในครั้งนี้ของเขาจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงการฟอร์มูล่าวันจากทางฝั่งเอเชียให้มีความหวังและก้าวขึ้นสู่ระดับโลกมากขึ้นอีกด้วย ไม่ใช่แม้แต่เพียงแค่นักแข่งเท่านั้น แต่หมายถึงทุกตำแหน่งงานที่มีความเกี่ยวข้องกับการแข่งขันไม่ว่าจะเป็นทีมช่าง วิศวกรและเทรนเนอร์อีกด้วย การปลดล็อกคว้าโพเดียมแรกมาครองได้สำเร็จของอัลบอนนั้น นอกจากจะเป็นการจารึกประวัติศาสตร์ของนักแข่งจากประเทศไทยเราแล้ว มันยังทำให้เขาได้รับความชื่นชมอย่างมากทั้งในเรื่องฝีไม้ลายมือในการขับ รวมไปถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนของเขาและการยกเครดิตในการคว้าโพเดียมให้กับบรรดาทีมงานและกลุ่มผู้สนับสนุนของเขาทุกคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้การคว้าโพเดียมของเขาในครั้งนี้ กลายเป็นแรงผลักดันให้เขาก้าวไปได้ไกลกว่านี้บนเส้นทางของการแข่งรถ เพราะมันทำให้เขากลายเป็นที่รักของแฟน
การแข่งขันรถประเภทแรลลี่นั้นสำหรับสนามที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นรายการที่มีความหฤโหดมากที่สุดบนโลกใบนี้แล้วละก็คงจะไม่มีรายการไหนโหดไปกว่าดาการ์ แรลลี่อย่างแน่นอน และสำหรับการแข่งขันดาการ์ แรลลี่ 2020 ที่ได้มีการโยกย้ายสนามแข่งจากเดิมที่อยู่ในทวีปอเมริกาใต้มายังทวีปเอเชียของเรา โดยใช้ความโหดหินแห้งแล้งของทะเลทรายในประเทศซาอุดิอาระเบีย เป็นด่านความยากเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของรถและนักขับทั้งหลาย และในการแข่งขันดาการ์ แรลลี่นั้นสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจและน่าจดจำอย่างมากก็คือการที่ “ริกกี้ บราเบ็ค” นักบิดหนุ่มสัญชาติอเมริกันสามารถพาทีมฮอนด้ากลับสู่ตำแหน่งแชมป์รายการนี้ในประเภทจักรยานยนต์ได้สำเร็จอีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายจากตำแหน่งแชมป์ไปนานถึง 31 ปี ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการรอคอยที่ยาวนานมากเลยทีเดียว และเป็นความสำเร็จหลังจากที่ทีมโรงงานฮอนด้ากลับสู่รายการแข่งขันนี้อีกครั้งในรอบ 8 ปี สำหรับริกกี้ บราเบ็คจากทีมมอนสเตอร์ เอเนอร์จี้ ฮอนด้านั้นลงแข่งดาการ์ แรลลี่ 2020 โดยใช้ยานพาหนะคู่ใจคือ Honda CRF450 Rally และสามารถควบเจ้ารถคู่ใจเข้าป้ายมาเป็นอันดับหนึ่งหลังจากจบการแข่งขันบนเส้นทางหฤโหดและทอดยาวถึง 7,839 กิโลเมตร จากการแข่งขันรวมทั้งสิ้น 12 สเตท แถมยังใช้เวลาในการแข่งขันยาวนานถึงสองสัปดาห์อีกด้วย ซึ่งด้วยปัจจัยความยากต่าง ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของการแข่งขันรายการนี้ แน่นอนว่าชัยชนะของแต่ละปีนั้นย่อมจะไม่มีคำว่าบังเอิญแน่ มันจะต้องมาจากสมรรถภาพของรถและฝีมือของนักขับเท่านั้นที่จะพาไปถึงเส้นชัยได้ ความสำเร็จในครั้งนี้ของทางบราเบ็คและฮอนด้านั้นถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก ทั้งในด้านของการยุติช่วงเวลาแห่งการรอคอยอันยาวนานของพวกเขาแล้ว การที่ฮอนด้าสามารถส่ง CRF450 Rally ลงแข่งและสามารถกำราบรถของค่ายเคทีเอ็ม ที่ถือว่าเป็นผู้ครองความเป็นเจ้าแห่งการแข่งขันแรลลี่มาอย่างยาวนาน และสามารถครองแชมป์มาแล้วมากถึง 18 สมัย ดังนั้นความสำเร็จในครั้งนี้มันจึงเป็นเหมือนเป็นการส่งสัญญาณแล้วว่าทางค่ายฮอนด้าพร้อมจะ ลงสู้ศึกในการแข่งขันทางฝุ่นแล้วอย่างเต็มตัว
สำหรับการแข่งขันกีฬาประเภทความเร็วแล้วนั้นในประเทศไทยบ้านเรา การแข่งขันประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบนั่นเอง และมันก็ทำให้มีผลดีตามมาก็คือการที่ทำให้วงการนักบิดบ้านเรามีนักแข่งที่มีฝีมือเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือบรรดานักแข่งสายเลือดใหม่ที่กำลังเติบโตขึ้นมานั้น ดูเหมือนจะมีพัฒนาการที่ดีมากกว่าในอดีตอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้พวกเขามีโอกาสที่จะก้าวไปสู่ระดับโลกได้มากขึ้นไปด้วยนั่นเอง สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการพัฒนาเหล่านี้ก็คือการที่เด็กรุ่นใหม่เหล่านี้ได้รับการสนับสนุนที่ดี ซึ่งมันทำให้พวกเขาได้เรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ อย่างถูกต้องรวมทั้งการขับขี่ที่ปลอดภัยซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญอย่างมากสำหรับกีฬาประเภทนี้ ซึ่งผลจากการถูกสอนมาอย่างถูกต้องก็คือการที่พวกเขาต่างพากันทำผลงานได้อย่างดีในรายการแข่งขันต่าง ๆ สำหรับรายการแข่งขันที่สำคัญที่สุดรายการหนึ่งของบรรดานักบิดวัยรุ่นก็คือรายการที่มีชื่อว่า “ไทยแลนด์ ทาเลนท์ คัพ” นั่นเอง เพราะนอกจากจะเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้กับนักแข่งวัยรุ่นที่มีอายุตั้งแต่ 13-18 ปี ได้ลงสนามแสดงฝีไม้ลายมือแล้ว ในการแข่งขันรายการนี้ยังมีการใช้รถในการแข่งเป็นรถโปรโตไทป์ Honda NSF250 ให้เด็ก ๆ ลงทำการแข่งขันอีกด้วย ซึ่งรถที่ใช้ในการแข่งขันนั้นเป็นสเป็คเดียวกันกับที่ใช้ในการแข่งขันโมโตทรีชิงแชมป์โลกอีกด้วย ซึ่งมันเป็นการวางรากฐานและสร้างความคุ้นเคยกับขนาดของรถให้กับเด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี ต้องบอกว่าการแข่งขันรายการนี้เป็นความสำเร็จอย่างมากสำหรับฮอนด้า ค่ายผู้ผลิตรถยักษ์ใหญ่ที่ให้ความสำคัญอย่างมากสำหรับการสร้างและพัฒนาฝีมือนักบิดรุ่นใหม่ในบ้านเรา โดยเฉพาะนักบิดวัยรุ่นจากโครงการ “เรซ ทู เดอะ ดรีม” ซึ่งเป็นโครงการปั้นนักแข่งรุ่นใหม่ของทางค่ายฮอนด้าเองนั้นสามารถทำผลงานได้อย่างน่าทึ่ง อย่างเช่นที่ผ่านมาไม่นานนี้ก็คือการแข่งขันไทยแลนด์ ทาเลนท์ คัพ 2020 สนาม 2 ที่สนามช้างเซอร์กิต จ.บุรีรัมย์นั้นสองนักบิดในสังกัดอย่างธนกร หลักหาญและจักกรีภัทร พฤฒิสารที่สามารถสร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีชได้ทั้งสองคน โดยทั้งคู่ผลัดกันคว้าชัยมาครองได้ในการแข่งขันในสนามนี้ ซึ่งส่งผลให้ตัวของธนกร หลักหาญนั้นขึ้นไปนำอยู่บนตารางคะแนนรวม หลังการแข่งขันฤดูกาลนี้ผ่านไปแล้วสองสนาม และสำหรับแฟน ๆ
นับเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันความสำเร็จของโครงการ “เรซ ทู เดอะ ดรีม” ของค่ายผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ฮอนด้าได้เป็นอย่างดี สำหรับการที่มีนักแข่งที่เป็นผลผลิตโดยตรงจากโครงการ สามารถผ่านการคัดเลือกให้ลงทำการแข่งขันรายการใหญ่ในทวีปยุโรป คือรายการ ซีอีวี โมโตทรี จูเนียร์ และรายการเรดบูลล์ โมโตจีพี รุกกีส์ คัพ 2020 ที่กำลังจะทำการแข่งขันในเร็ว ๆ นี้หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 คลี่คลายลง ซึ่งนักแข่งจักรยานยนต์ทางเรียบของโครงการที่ได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้ก็คือ “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี นักแข่งวัย 19 ปีจาก เอพี ฮอนด้านั่นเอง ซึ่งในปี 2020 นี้เขาได้รับคัดเลือกให้เข้าสู่รายการแข่งขัน ซีอีวี โมโตทรี จูเนียร์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ ภายใต้สังกัด “จูเนียร์ ทาเลนท์ ทีม” โดยจะใช้หมายเลข 33 ในการแข่งขัน รวมไปถึงได้รับสิทธิ์เป็นนักบิดคนแรกของประเทศไทยที่จะลงแข่งในการแข่งขันในรายการเรดบูลล์ โมโตจีพี รุกกีส์ คัพ 2020 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเวทีที่เป็นทางผ่านขึ้นไปสู่การเป็นนักบิดระดับโลกของบรรดานักบิดชื่อดังหลายต่อหลายคน สำหรับผลงานที่ผ่านมาของธัชกร บัวศรีนั้นก็ต้องบอกว่าน่าสนใจและน่าจับตามองมากทีเดียว โดยในฤดูกาล 2019
สำหรับค่ายรถจักรยานยนต์อย่างฮอนด้าที่ถึงแม้ว่าในปีนี้จะมีเรื่องราวให้ปวดหัวอยู่บ้างทั้งจากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบไปถึงผู้คนทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่วงการแข่งรถ รวมไปถึงเรื่องปัญหาอาการบาดเจ็บของนักแข่งคนสำคัญอย่างมาร์ค มาร์เกซแชมป์โลกชาวสเปน แต่ในช่วงเวลาวิกฤตก็ยังคงพอมีเรื่องให้ยิ้มออกได้อยู่บ้างเช่นกัน และหนึ่งในเรื่องที่พอจะทำให้ยิ้มได้ก็คือ ฟอร์มของนักแข่งของพวกเขาในการแข่งขันประเภทโมโตครอสนั่นเอง โดยในการแข่งขันโมโตครอสชิงแชมป์โลกรายการ เอฟไอเอ็ม โมโตครอส เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ หรือ MXGP 2020 ที่ได้เริ่มเปิดฉากทำการแข่งขันสนามแรกเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาที่สนามแมตเทอร์รี่ บาซิน ประเทศอังกฤษ ซึ่งทางฮอนด้ามีนักแข่งระดับแชมป์เก่าโมโตครอสชิงแชมป์โลกอย่างทิม ไกจ์เซอร์ นักบิดวัย 24 ปี ชาวสโลวีเนียที่มาพร้อมกับรถคู่ใจอย่าง ฮอนด้า CRF450RW ซึ่งเขาก็ไม่ทำให้ต้นสังกัดคือ ฮอนด้า เอชอาร์ซีและแฟน ๆ ของเขาต้องผิดหวังเมื่อสามารถเข้าเส้นชัยมาเป็นอันดับหนึ่ง ผงาดคว้าแชมป์เรซสองที่ประเทศอังกฤษมาครองได้สำเร็จ ซึ่งการแข่งขันที่จัดขึ้นนั้นได้ทำการแข่งขันสองเรซด้วยกัน โดยแต่ละเรซจะทำการแข่งขันกันทั้งหมด 13 รอบซึ่งทิม ไกจ์เซอร์แชมป์เก่าจากปีที่แล้วเครื่องร้อนช้าไปหน่อยทำให้จบเรซแรกด้วยการเข้ามาเป็นอันดับที่ 8 แต่ในเรซต่อมาเมื่อเครื่องของเขาและรถคู่ใจฮอนด้า CRF450RW ร้อนเต็มที่ก็สามารถคืนฟอร์มเก่งกลับมาผ่านตราหมากรุกได้เป็นอันดับที่ 1 คว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ ซึ่งนับเป็นการเปิดตัวฤดูกาลใหม่ของเขากับต้นสังกัดได้อย่างสวยงามไร้ที่ติเลยก็ว่าได้ และการเปิดตัวที่ร้อนแรงแบบนี้ของเขาก็น่าจะพอทำให้แฟน ๆ ของเขารวมไปต้นสังกัดอย่างฮอนด้าสามารถคาดหวังถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เมื่อจบสิ้นฤดูกาลนี้อย่างแน่นอน ซึ่งนับจากการเป็นแชมป์สนามแรกจนถึงวันนี้ทิม ไกจ์เซอร์ก็ยังคงรั้งตำแหน่งอันดับที่สองของตารางคะแนนรวมโดยมีอยู่ 278 คะแนน ตามหลังผู้นำอย่างอันโตนิโอ แคโรลี่นักแข่งชาวอิตาลีอยู่เพียงแค่ 7 คะแนนเท่านั้นเอง
สำหรับช่วงชีวิตของนักกีฬาสักคนหนึ่งเมื่ออายุอานามล่วงเลยเข้าสู่วัยระดับ 35 ปีแล้วนั้น เราจะเห็นได้ว่ามันมักจะเป็นการเข้าสู่ปลายทางของอาชีพนักกีฬาของใครหลาย ๆ คน นั่นอาจจะเป็นเพราะสภาพร่างกายที่เริ่มจะโรยราหรืออาจจะรวมไปถึงความอิ่มตัวและหมดความท้าทายเสียแล้วบนเส้นทางสายกีฬาของตน แต่สำหรับชายที่ชื่อว่าลูอิส แฮมิลตันแล้วมันกลับมีความท้าทายอันใหญ่หลวงรอเขาอยู่ถึงแม้ว่าจะเข้าสู่วัย 35 แล้วก็ตาม นั่นก็เพราะว่าสถิติที่เหลืออยู่นั้นไม่มากบนเส้นทางของเขานั้น มันจะเป็นตัวชี้วัดและมีแรงผลักดันมากพอที่จะทำให้เขาก้าวขึ้นไปโค่นตำแหน่งและกลายเป็นหมายเลขหนึ่งตลอดกาลแห่งวงการแข่งรถสูตรหนึ่งแทนมิชาเอล ชูมัคเกอร์ยอดนักขับชาวเยอรมันผู้สร้างชื่อและสร้างยุครุ่งเรืองของเฟอร์รารี่ในช่วงเริ่มต้นปี 2000 และมันก็เป็นตัวเลขที่เหลืออีกเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะทำให้เขาก้าวขึ้นไปสู่จุดนั้นได้ ซึ่งเมื่อดูจากฟอร์มในสนามอันร้อนแรงของเขากับต้นสังกัดเมอร์ซิเดสแล้วนั้นมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรงแต่อย่างใดที่เขาจะทำให้สำเร็จก่อนที่จะร่วงโรยไปตามวัยและวางมือจากวงการตามวัฎจักรของอาชีพนักกีฬา ซึ่งสถิติที่เขายังคงตามหลังชูมัคเกอร์อยู่นั้นก็คืออันดับแรกที่กำลังจะทำลายได้สำเร็จก็คือการชนะในรายการต่าง ๆ รวมทั้งหมดที่ปัจจุบันเขาทำได้มากถึง 90 รายการซึ่งห่างจากเจ้าของสถิติเดิมอย่างชูมัคเกอร์อยู่เพียงแค่รายการเดียวเท่านั้นเอง และดูแล้วสำหรับสถิติอันนี้เขาคงจำ ทำลายและสร้างสถิติใหม่ของตัวเองที่มากกว่าของชูมัคเกอร์ได้มากพอสมควรเลย และอีกหนึ่งสถิติที่สำคัญที่ดูจะยากขึ้นมาหน่อยก็คือการก้าวไปเป็นแชมป์โลกนั่นเอง เพราะในปัจจุบันสถิติการเป็นแชมป์โลกนั้นแฮมิลตันสามารถคว้าตำแหน่งมาครองได้ 6 สมัย ซึ่งตามหลังชูมัคเกอร์อยู่อีกเพียงแค่สมัยเดียวเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าหากเขายังคงรักษามาตรฐานระดับนี้ของเขาไว้ได้อีกซักปีหรือสองปีแล้วละก็ เขาอาจจะสามารถทำสถิติแซงหน้าชูมัคเกอร์ขึ้นไปเป็นอันดับหนึ่งแทนอย่างเต็มตัวเลยก็เป็นได้ สำหรับแฟนกีฬาความเร็วอย่างการแข่งขันรถสูตรหนึ่งนั้น เราจะเห็นได้ว่าจะมีนักแข่งที่เก่งมาก ๆ ก้าวขึ้นมาสร้างยุคทองของพวกเขาอยู่ตลอด อย่างเช่นเมื่อต้นปี 2000 ก็เคยเป็นยุคทองของมิชาเอล ชูมัคเกอร์และทีมม้าลำพอง เฟอร์รารี่มาแล้ว และในยุคปัจจุบันก็คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามันคือยุคทองของลูอิส แฮมิลตันแห่งเมอร์ซิเดส และหากว่าจะเป็นการปิดฉากชีวิตนักแข่งของเขาให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วละก็ การก้าวขึ้นไปเป็นหมายเลขหนึ่งแทนที่ตำนานคนก่อนนี่แหละคือสิ่งที่จะทำให้มันเพอร์เฟกต์ที่สุด ดังนั้นสถิติเหล่านี้จึงเป็นเหมือนความท้าทายในช่วงปลายชีวิตนักกีฬาของลูอิส แฮมิลตันให้ยังมีไฟไล่ล่าความสำเร็จได้อีกมากพอสมควรเลย
การลุยศึกการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบในปี 2020 นี้ ในรุ่นการแข่งขันเวิลด์ซูเปอร์ไบค์นั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยเลยสำหรับการตัดสินใจเสริมทัพของทางฝั่งฮอนด้า เพราะนักบิดที่พวกเขาส่งลงสนามและเป็นความหวังใหม่ของทีมนั้นต้องบอกว่ามีดีกรีไม่ธรรมดาเลย ซึ่งเขาคนนั้นก็คืออัลวาโร เบาติสต้า นักบิดสัญชาติสเปนนั้นเองที่ทางฮอนด้าทีมโรงงานได้ทำการดึงตัวเขามาจากดูคาติ เพื่อเสริมศักยภาพและเพิ่มโอกาสการลุ้นแชมป์ให้กับทีมในฤดูกาลนี้ พร้อมกับช่วยพัฒนาโปรเจ็คซูเปอร์ไบค์ตัวใหม่ของค่ายอย่าง CBR1000RR-R เพื่อปรับปรุงและปลดล็อกข้อจำกัดต่าง ๆ ของรถให้กลายมาเป็นซูเปอร์ไบค์ที่สมบูรณ์แบบในอนาคตอันใกล้นี้ สำหรับเบาติสต้านั้นต้องบอกว่าเขาก็ถือเป็นหนึ่งในนักแข่งมากประสบการณ์คนหนึ่งเลยก็ว่าได้ โดยเขาโลดแล่นอยู่บนสนามแข่งรุ่นโมโตจีพีอยู่ยาวนานจากปี 2010-2018 ก่อนที่ตัวเขานั้นจะถูกทางดูคาติส่งลงทำการแข่งขันในรุ่นเวิลด์ ซูเปอร์ไบค์ในฤดูกาล 2019 เพื่อหวังให้เขาเป็นผู้ช่วยผลักดันโปรเจ็กต์รถแข่งของทางโรงงานนั้นก็คือ Ducati Panigale V4 R นั่นเอง และเขาก็ไม่ได้ทำให้ดูคาติผิดหวังสร้างผลงานระดับที่เรียกว่าเป็นที่ฮือฮาของวงการเลยก็ว่าได้ เมื่อสามารถควบปานิกาเลคู่ใจเก็บชัยชนะคว้าแชมป์มาครองได้นับตั้งแต่เปิดสนามแรกของฤดูกาล 2019 และสามารถลากยาวต่อไปได้ถึงการเป็นแชมป์ 11 เรซติดต่อกันเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าสุดท้ายเขาจะฟอร์มดร็อปไปจนทำให้คู่แข่งแซงจนไม่เห็นฝุ่น แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่านักบิดผู้นี้มีฝีมือไม่ธรรมดา ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาจะอยู่ถึงอันดับที่ 6 ในตารางคะแนนรวมของการแข่งขัน ซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเขายังอยู่ในช่วงเวลาปรับตัวให้เข้ากับรถใหม่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบที่เขาไม่เคยใช้ลงแข่งมาก่อนนั่นคือเครื่องแบบ 4 สูบเรียงจากเดิมที่เขาใช้เครื่อง V4 มาโดยตลอดซึ่งมันก็มีส่วนไม่น้อยกับผลงานในสนาม และอีกอย่างหนึ่งก็คืออาวุธของเขาที่ทางโรงงานฮอนด้ามอบให้อย่าง CBR1000RR-R นั้นยังคงอยู่ในช่วงพัฒนาและปรับปรุงส่วนต่างของมัน เพื่อที่จะปลดล็อกให้ขุมพลังของมันออกมาได้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งมันก็เป็นงานหนักที่จะต้องทำร่วมกันระหว่างทีมโรงงานฮอนด้า และตัวนักบิดอย่างเบาติสต้าเองที่เป็นผู้สัมผัสกับการขับขี่โดยตรง ซึ่งตัวเบาติสต้าก็ยอมรับว่าการพัฒนาโปรเจ็กต์ CBR1000RR-R นั้นพึ่งจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น นั่นก็เท่ากับว่าโปรเจ็กต์นี้ของทางฮอนด้ายังคงพัฒนาไปได้อีกมาก สำหรับการแข่งขันเวิลด์ ซูเปอร์ไบค์ในฤดูกาลนี้อัลวาโร เบาติสต้าได้ลงสนามกับคู่หูอย่างลีออน
สำหรับโครงการฝึกสอนนักบิดรุ่นใหม่ของทางเอพี ฮอนด้า ภายใต้โครงการ “เรซ ทู เดอะ ดรีม” นั้น ต้องบอกว่าเป็นโครงการที่ทำให้เราได้เห็นการขึ้นมาแจ้งเกิดในวงการนักบิดมากมายหลายคน และอีกตัวอย่างหนึ่งที่เป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จของโครงการก็คือ ผลงานในสนามของก็นักบิดตัวน้อยที่ชื่อว่า “น้องกัน” พชรกร ทองเกิดหลวงนั่นเอง นับเป็นบันไดขั้นแรกอย่างแท้จริงที่จะไต่ขึ้นไปสู่ปลายทางความสำเร็จบนโลกของความเร็ว สำหรับการที่เอพี ฮอนด้า อคาเดมี่ได้มีการจัดรายการให้เด็กไทยผู้มีใจรักความเร็วได้ลงประลองฝีมือกัน โดยรถที่ใช้ในการแข่งขันคือ Honda NSF100 ซึ่งในสนามที่สองที่ผ่านมาซึ่งจัดการแข่งขันขึ้นที่สนามไทยแลนด์เซอร์กิต นครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ซึ่งในสนามนี้ผู้ชนะคว้าแชมป์สนามนี้ไปครองได้ก็คือ “น้องกัน” พชรกร ทองเกิดหลวง ที่เข้าป้ายมาเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยอันดับสอง “น้องจิมมี่” บูรพา วันมูล และอันดับที่สามที่ตามขึ้นโพเดียมมาได้สำเร็จคือ “น้องไบรท์” เตชินท์ อินทร์อภัย ซึ่งล้วนแต่เป็นนักบิดตัวจิ๋วที่ฝีมือเกินตัวของโครงการทั้งสิ้น โดยเฉพาะเจ้าของตำแหน่งแชมป์ของสนามนี้อย่างน้องกันนั้น สามารถคว้าตำแหน่งมาครองได้ในวัยเพียงแค่สิบขวบเท่านั้นเอง ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ที่น้องได้รับจากโครงการไม่ว่าจะเป็นการฝึกสอนทักษะการขับขี่ถูกต้องและปลอดภัย รวมไปถึงการได้รับประสบการณ์ยืนบนโพเดียมตั้งแต่วัยเพียงเท่านี้มันจะเป็นการจุดประกายและสร้างแรงผลักดันให้เขาก้าวไปสู่สนามแข่งระดับโลกได้ในอนาคต และนอกจากจะเป็นประโยชน์กับตัวเด็กเองแล้วมันยังเป็นการส่งต่อแรงบันดาลใจไปสู่เด็กคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกันทั่วประเทศอีกด้วย ต้องบอกว่าความสำเร็จของตัวน้องกันนั้นมันทำให้เห็นว่า โครงการส่งเสริมนักบิดรุ่นจิ๋วอย่าง “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” นั้นมีประโยชน์มากเพียงใด
สำหรับการแข่งขันกีฬาประเภทที่วัดกันด้วยความเร็วแล้วนั้น สิ่งหนึ่งที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือการเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชน และยิ่งถ้าการเฉี่ยวชนที่เกิดขึ้นนั้นมันเกิดกับกีฬาที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งความเร็วที่สุดบนพื้นโลกอย่างการแข่งขันรถสูตรหนึ่งแล้วละก็ แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมามันย่อมจะรุนแรงและอันตรายมากขึ้นตามไปด้วยอย่างแน่นอน และเมื่อไม่นานมานี้การเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนที่น่ากลัวก็ได้เกิดขึ้น ในรายการแข่งขันทัสคัน กรังด์ปรีซ์ที่ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นผลให้นักขับถึง 4 คนต้องรีไทร์จากการแข่งขันเนื่องจากได้รับอาการบาดเจ็บ และทางสจ๊วต เอฟไอเอ ประจำศึกฟอร์มูล่าวันรายการทัสคัน กรังด์ปรีซ์ได้ออกจดหมายเตือนบรรดานักแข่งที่มีส่วนทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ ซึ่งนักแข่งที่ได้รับจดหมายเตือนนั้นก็ประกอบไปด้วยนักแข่งถึง 12 คนด้วยกัน ซึ่งก็มีชื่อของอเล็กซานเดอร์ อัลบอนรวมอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน ยังนับว่าโชคดีที่การเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ไม่ได้ร้ายแรงถึงกับมีผู้เสียชีวิต จะมีบ้างก็แค่ได้รับบาดเจ็บและออกจากการแข่งขันเท่านั้น ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากความปลอดภัยของรถฟอร์มูล่าวันนั้นค่อนข้างจะสูงมากเลยทีเดียว เพราะระบบรักษาความปลอดภัยเหล่านี้มันถูกออกแบบมาเพื่อรักษาชีวิตของนักขับที่ต้องทำความเร็วขึ้นไปสูงถึง 375 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียว และแน่นอนว่าระบบเหล่านั้นคงจะไม่ใช่ราคาถูก ๆ อย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่ออุบัติเหตุครั้งนี้ไม่มีการเสียหายถึงชีวิต แล้วมูลค่าความเสียหายจากการชนครั้งนี้ที่ทางแต่ละค่ายต้องจ่ายละจะมีราคาสักเท่าไหร่ เมื่อลองหันมามองที่ราคาค่าเสียหายแล้วบอกเลยว่าสยองไม่แพ้กัน เริ่มจากงบประมาณในการสร้างรถที่ได้ชื่อว่าเร็วที่สุดในโลกนั้นรวมทั้งคันอยู่ที่ 12.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 380 ล้านบาทเลยทีเดียว ซึ่งหากการเฉี่ยวชนนั้นไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากและต้องเปลี่ยนอะไหล่แค่บางส่วนก็ดีหน่อย และราคาของอะไหล่แต่ละส่วนแบบแยกชิ้นก็จะมี ตัวเครื่องยนต์ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจหลักของเอฟวัน ส่วนนี้มีราคา 7.5 ล้านดอลลาร์ ตัวถังที่เป็นเหมือนเกราะนิรภัยให้นักขับทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ราคา 1.2 ล้านดอลลาร์, ระบบพับปีกหลัง ราคา 2 แสนดอลลาร์, ปีกหน้าหลังและกรวยด้านหน้ารวมกัน 6 แสนดอลลาร์, ถังน้ำมันเชื้อเพลิง