นักแข่งรถ Archive

เมื่อธงไตรรงค์ได้โบกสะบัดเหนือโพเดียมเอฟวัน ด้วยฝีมือของ อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์

ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ประเทศไทยเราจะมีนักแข่งรถสูตรหนึ่งหรือฟอร์มูล่าวันสักคนหนึ่ง แต่ในขณะนี้เราก็ได้มีนักแข่งที่เป็นสัญชาติไทยก้าวไปอยู่ในการแข่งรถประเภทนี้เป็นที่เรียบร้อย แถมยังอยู่กับทีมระดับโลกสัญชาติไทยอย่างเรดบูลล์ เรซซิ่งอีกด้วย และเมื่อเร็ว ๆ นี้เจ้าตัวก็สร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีช ที่ถือเป็นผลงานระดับที่เรียกว่าเป็นการจารึกประวัติศาสตร์ของประเทศไทยบนโลกแข่งรถสูตรหนึ่งเลยทีเดียว แน่นอนว่าชายที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ก็คือ อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์ นักแข่งหนุ่มลูกครึ่งไทย-อังกฤษนั่นเอง ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ในการแข่งขันรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลก 2020 สนามที่ 9 รายการทัสคานี่ เฟอร์รารี่ 1000 กรังด์ปรีที่สนามมูเจลโล เซอร์กิต เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี “อัลบอน” สามารถควบรถคู่ใจ RB16 ตามลูอิส แฮมิลตันและวัลเทอร์รี่ บอตทาสสองนักแข่งจากเมอร์ซิเดส เข้าป้ายมาเป็นอันดับที่สามได้สำเร็จ และมันก็ทำให้ทำให้วันที่ 13 กันยายน 2563 ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นครั้งแรกที่ธงไตรรงค์ของประเทศไทยได้โบกสะบัดเหนือโพเดียมการแข่งรถสูตรหนึ่ง และเป็นนักแข่งจากประเทศที่ 29 ที่สามารถขึ้นไปอยู่บนโพเดียมได้ ซึ่งมันเกิดขึ้นหลังจากการแข่งขันฤดูกาลนี้เป็นสนามที่ 8 เท่านั้นเอง โดยในส่วนของเจ้าตัวอัลบอนเองก็ได้ออกมาบอกว่าการสามารถคว้าโพเดียมมาได้ในครั้งนี้ มันเป็นความภูมิใจที่สุดในชีวิตที่ทำให้ธงชาติไทยขึ้นไปโบกเหนือโพเดียมของการแข่งขันรถสูตรหนึ่งได้ และยังหวังอีกว่าความสำเร็จในครั้งนี้ของเขาจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงการฟอร์มูล่าวันจากทางฝั่งเอเชียให้มีความหวังและก้าวขึ้นสู่ระดับโลกมากขึ้นอีกด้วย ไม่ใช่แม้แต่เพียงแค่นักแข่งเท่านั้น แต่หมายถึงทุกตำแหน่งงานที่มีความเกี่ยวข้องกับการแข่งขันไม่ว่าจะเป็นทีมช่าง วิศวกรและเทรนเนอร์อีกด้วย การปลดล็อกคว้าโพเดียมแรกมาครองได้สำเร็จของอัลบอนนั้น นอกจากจะเป็นการจารึกประวัติศาสตร์ของนักแข่งจากประเทศไทยเราแล้ว มันยังทำให้เขาได้รับความชื่นชมอย่างมากทั้งในเรื่องฝีไม้ลายมือในการขับ รวมไปถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนของเขาและการยกเครดิตในการคว้าโพเดียมให้กับบรรดาทีมงานและกลุ่มผู้สนับสนุนของเขาทุกคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้การคว้าโพเดียมของเขาในครั้งนี้ กลายเป็นแรงผลักดันให้เขาก้าวไปได้ไกลกว่านี้บนเส้นทางของการแข่งรถ เพราะมันทำให้เขากลายเป็นที่รักของแฟน

ไกจ์เซอร์และฮอนด้าประเดิมสวย MXGP 2020

สำหรับค่ายรถจักรยานยนต์อย่างฮอนด้าที่ถึงแม้ว่าในปีนี้จะมีเรื่องราวให้ปวดหัวอยู่บ้างทั้งจากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบไปถึงผู้คนทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่วงการแข่งรถ รวมไปถึงเรื่องปัญหาอาการบาดเจ็บของนักแข่งคนสำคัญอย่างมาร์ค มาร์เกซแชมป์โลกชาวสเปน แต่ในช่วงเวลาวิกฤตก็ยังคงพอมีเรื่องให้ยิ้มออกได้อยู่บ้างเช่นกัน และหนึ่งในเรื่องที่พอจะทำให้ยิ้มได้ก็คือ ฟอร์มของนักแข่งของพวกเขาในการแข่งขันประเภทโมโตครอสนั่นเอง โดยในการแข่งขันโมโตครอสชิงแชมป์โลกรายการ เอฟไอเอ็ม โมโตครอส เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ หรือ MXGP 2020 ที่ได้เริ่มเปิดฉากทำการแข่งขันสนามแรกเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาที่สนามแมตเทอร์รี่ บาซิน ประเทศอังกฤษ ซึ่งทางฮอนด้ามีนักแข่งระดับแชมป์เก่าโมโตครอสชิงแชมป์โลกอย่างทิม ไกจ์เซอร์ นักบิดวัย 24 ปี ชาวสโลวีเนียที่มาพร้อมกับรถคู่ใจอย่าง ฮอนด้า CRF450RW ซึ่งเขาก็ไม่ทำให้ต้นสังกัดคือ ฮอนด้า เอชอาร์ซีและแฟน ๆ ของเขาต้องผิดหวังเมื่อสามารถเข้าเส้นชัยมาเป็นอันดับหนึ่ง ผงาดคว้าแชมป์เรซสองที่ประเทศอังกฤษมาครองได้สำเร็จ ซึ่งการแข่งขันที่จัดขึ้นนั้นได้ทำการแข่งขันสองเรซด้วยกัน โดยแต่ละเรซจะทำการแข่งขันกันทั้งหมด 13 รอบซึ่งทิม ไกจ์เซอร์แชมป์เก่าจากปีที่แล้วเครื่องร้อนช้าไปหน่อยทำให้จบเรซแรกด้วยการเข้ามาเป็นอันดับที่ 8 แต่ในเรซต่อมาเมื่อเครื่องของเขาและรถคู่ใจฮอนด้า CRF450RW ร้อนเต็มที่ก็สามารถคืนฟอร์มเก่งกลับมาผ่านตราหมากรุกได้เป็นอันดับที่ 1 คว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ ซึ่งนับเป็นการเปิดตัวฤดูกาลใหม่ของเขากับต้นสังกัดได้อย่างสวยงามไร้ที่ติเลยก็ว่าได้ และการเปิดตัวที่ร้อนแรงแบบนี้ของเขาก็น่าจะพอทำให้แฟน ๆ ของเขารวมไปต้นสังกัดอย่างฮอนด้าสามารถคาดหวังถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เมื่อจบสิ้นฤดูกาลนี้อย่างแน่นอน ซึ่งนับจากการเป็นแชมป์สนามแรกจนถึงวันนี้ทิม ไกจ์เซอร์ก็ยังคงรั้งตำแหน่งอันดับที่สองของตารางคะแนนรวมโดยมีอยู่ 278 คะแนน ตามหลังผู้นำอย่างอันโตนิโอ แคโรลี่นักแข่งชาวอิตาลีอยู่เพียงแค่ 7 คะแนนเท่านั้นเอง

ลูอิส แฮมิลตันกับตัวเลขสถิติที่ท้าทายในวัย 35 ปี

สำหรับช่วงชีวิตของนักกีฬาสักคนหนึ่งเมื่ออายุอานามล่วงเลยเข้าสู่วัยระดับ 35 ปีแล้วนั้น เราจะเห็นได้ว่ามันมักจะเป็นการเข้าสู่ปลายทางของอาชีพนักกีฬาของใครหลาย ๆ คน นั่นอาจจะเป็นเพราะสภาพร่างกายที่เริ่มจะโรยราหรืออาจจะรวมไปถึงความอิ่มตัวและหมดความท้าทายเสียแล้วบนเส้นทางสายกีฬาของตน แต่สำหรับชายที่ชื่อว่าลูอิส แฮมิลตันแล้วมันกลับมีความท้าทายอันใหญ่หลวงรอเขาอยู่ถึงแม้ว่าจะเข้าสู่วัย 35 แล้วก็ตาม นั่นก็เพราะว่าสถิติที่เหลืออยู่นั้นไม่มากบนเส้นทางของเขานั้น มันจะเป็นตัวชี้วัดและมีแรงผลักดันมากพอที่จะทำให้เขาก้าวขึ้นไปโค่นตำแหน่งและกลายเป็นหมายเลขหนึ่งตลอดกาลแห่งวงการแข่งรถสูตรหนึ่งแทนมิชาเอล ชูมัคเกอร์ยอดนักขับชาวเยอรมันผู้สร้างชื่อและสร้างยุครุ่งเรืองของเฟอร์รารี่ในช่วงเริ่มต้นปี 2000 และมันก็เป็นตัวเลขที่เหลืออีกเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะทำให้เขาก้าวขึ้นไปสู่จุดนั้นได้ ซึ่งเมื่อดูจากฟอร์มในสนามอันร้อนแรงของเขากับต้นสังกัดเมอร์ซิเดสแล้วนั้นมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรงแต่อย่างใดที่เขาจะทำให้สำเร็จก่อนที่จะร่วงโรยไปตามวัยและวางมือจากวงการตามวัฎจักรของอาชีพนักกีฬา ซึ่งสถิติที่เขายังคงตามหลังชูมัคเกอร์อยู่นั้นก็คืออันดับแรกที่กำลังจะทำลายได้สำเร็จก็คือการชนะในรายการต่าง ๆ รวมทั้งหมดที่ปัจจุบันเขาทำได้มากถึง 90 รายการซึ่งห่างจากเจ้าของสถิติเดิมอย่างชูมัคเกอร์อยู่เพียงแค่รายการเดียวเท่านั้นเอง และดูแล้วสำหรับสถิติอันนี้เขาคงจำ ทำลายและสร้างสถิติใหม่ของตัวเองที่มากกว่าของชูมัคเกอร์ได้มากพอสมควรเลย และอีกหนึ่งสถิติที่สำคัญที่ดูจะยากขึ้นมาหน่อยก็คือการก้าวไปเป็นแชมป์โลกนั่นเอง เพราะในปัจจุบันสถิติการเป็นแชมป์โลกนั้นแฮมิลตันสามารถคว้าตำแหน่งมาครองได้ 6 สมัย ซึ่งตามหลังชูมัคเกอร์อยู่อีกเพียงแค่สมัยเดียวเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าหากเขายังคงรักษามาตรฐานระดับนี้ของเขาไว้ได้อีกซักปีหรือสองปีแล้วละก็ เขาอาจจะสามารถทำสถิติแซงหน้าชูมัคเกอร์ขึ้นไปเป็นอันดับหนึ่งแทนอย่างเต็มตัวเลยก็เป็นได้ สำหรับแฟนกีฬาความเร็วอย่างการแข่งขันรถสูตรหนึ่งนั้น เราจะเห็นได้ว่าจะมีนักแข่งที่เก่งมาก ๆ ก้าวขึ้นมาสร้างยุคทองของพวกเขาอยู่ตลอด อย่างเช่นเมื่อต้นปี 2000 ก็เคยเป็นยุคทองของมิชาเอล ชูมัคเกอร์และทีมม้าลำพอง เฟอร์รารี่มาแล้ว และในยุคปัจจุบันก็คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามันคือยุคทองของลูอิส แฮมิลตันแห่งเมอร์ซิเดส และหากว่าจะเป็นการปิดฉากชีวิตนักแข่งของเขาให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วละก็ การก้าวขึ้นไปเป็นหมายเลขหนึ่งแทนที่ตำนานคนก่อนนี่แหละคือสิ่งที่จะทำให้มันเพอร์เฟกต์ที่สุด ดังนั้นสถิติเหล่านี้จึงเป็นเหมือนความท้าทายในช่วงปลายชีวิตนักกีฬาของลูอิส แฮมิลตันให้ยังมีไฟไล่ล่าความสำเร็จได้อีกมากพอสมควรเลย

อัลวาโร เบาติสต้า นักบิดความหวังใหม่ใน เวิลด์ ซูเปอร์ไบค์ของทีมฮอนด้า

การลุยศึกการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบในปี 2020 นี้ ในรุ่นการแข่งขันเวิลด์ซูเปอร์ไบค์นั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยเลยสำหรับการตัดสินใจเสริมทัพของทางฝั่งฮอนด้า เพราะนักบิดที่พวกเขาส่งลงสนามและเป็นความหวังใหม่ของทีมนั้นต้องบอกว่ามีดีกรีไม่ธรรมดาเลย ซึ่งเขาคนนั้นก็คืออัลวาโร เบาติสต้า นักบิดสัญชาติสเปนนั้นเองที่ทางฮอนด้าทีมโรงงานได้ทำการดึงตัวเขามาจากดูคาติ เพื่อเสริมศักยภาพและเพิ่มโอกาสการลุ้นแชมป์ให้กับทีมในฤดูกาลนี้ พร้อมกับช่วยพัฒนาโปรเจ็คซูเปอร์ไบค์ตัวใหม่ของค่ายอย่าง CBR1000RR-R เพื่อปรับปรุงและปลดล็อกข้อจำกัดต่าง ๆ ของรถให้กลายมาเป็นซูเปอร์ไบค์ที่สมบูรณ์แบบในอนาคตอันใกล้นี้ สำหรับเบาติสต้านั้นต้องบอกว่าเขาก็ถือเป็นหนึ่งในนักแข่งมากประสบการณ์คนหนึ่งเลยก็ว่าได้ โดยเขาโลดแล่นอยู่บนสนามแข่งรุ่นโมโตจีพีอยู่ยาวนานจากปี 2010-2018 ก่อนที่ตัวเขานั้นจะถูกทางดูคาติส่งลงทำการแข่งขันในรุ่นเวิลด์ ซูเปอร์ไบค์ในฤดูกาล 2019 เพื่อหวังให้เขาเป็นผู้ช่วยผลักดันโปรเจ็กต์รถแข่งของทางโรงงานนั้นก็คือ Ducati Panigale V4 R นั่นเอง และเขาก็ไม่ได้ทำให้ดูคาติผิดหวังสร้างผลงานระดับที่เรียกว่าเป็นที่ฮือฮาของวงการเลยก็ว่าได้ เมื่อสามารถควบปานิกาเลคู่ใจเก็บชัยชนะคว้าแชมป์มาครองได้นับตั้งแต่เปิดสนามแรกของฤดูกาล 2019 และสามารถลากยาวต่อไปได้ถึงการเป็นแชมป์ 11 เรซติดต่อกันเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าสุดท้ายเขาจะฟอร์มดร็อปไปจนทำให้คู่แข่งแซงจนไม่เห็นฝุ่น แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่านักบิดผู้นี้มีฝีมือไม่ธรรมดา ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาจะอยู่ถึงอันดับที่ 6 ในตารางคะแนนรวมของการแข่งขัน ซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเขายังอยู่ในช่วงเวลาปรับตัวให้เข้ากับรถใหม่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบที่เขาไม่เคยใช้ลงแข่งมาก่อนนั่นคือเครื่องแบบ 4 สูบเรียงจากเดิมที่เขาใช้เครื่อง V4 มาโดยตลอดซึ่งมันก็มีส่วนไม่น้อยกับผลงานในสนาม และอีกอย่างหนึ่งก็คืออาวุธของเขาที่ทางโรงงานฮอนด้ามอบให้อย่าง CBR1000RR-R นั้นยังคงอยู่ในช่วงพัฒนาและปรับปรุงส่วนต่างของมัน เพื่อที่จะปลดล็อกให้ขุมพลังของมันออกมาได้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งมันก็เป็นงานหนักที่จะต้องทำร่วมกันระหว่างทีมโรงงานฮอนด้า และตัวนักบิดอย่างเบาติสต้าเองที่เป็นผู้สัมผัสกับการขับขี่โดยตรง ซึ่งตัวเบาติสต้าก็ยอมรับว่าการพัฒนาโปรเจ็กต์ CBR1000RR-R นั้นพึ่งจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น นั่นก็เท่ากับว่าโปรเจ็กต์นี้ของทางฮอนด้ายังคงพัฒนาไปได้อีกมาก สำหรับการแข่งขันเวิลด์ ซูเปอร์ไบค์ในฤดูกาลนี้อัลวาโร เบาติสต้าได้ลงสนามกับคู่หูอย่างลีออน

น้องกัน ผลผลิตจากเอพี ฮอนด้า อคาเดมี่ ตัวอย่างที่ดีของเด็กรักความเร็ว

สำหรับโครงการฝึกสอนนักบิดรุ่นใหม่ของทางเอพี ฮอนด้า ภายใต้โครงการ “เรซ ทู เดอะ ดรีม” นั้น ต้องบอกว่าเป็นโครงการที่ทำให้เราได้เห็นการขึ้นมาแจ้งเกิดในวงการนักบิดมากมายหลายคน และอีกตัวอย่างหนึ่งที่เป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จของโครงการก็คือ ผลงานในสนามของก็นักบิดตัวน้อยที่ชื่อว่า “น้องกัน” พชรกร ทองเกิดหลวงนั่นเอง นับเป็นบันไดขั้นแรกอย่างแท้จริงที่จะไต่ขึ้นไปสู่ปลายทางความสำเร็จบนโลกของความเร็ว สำหรับการที่เอพี ฮอนด้า อคาเดมี่ได้มีการจัดรายการให้เด็กไทยผู้มีใจรักความเร็วได้ลงประลองฝีมือกัน โดยรถที่ใช้ในการแข่งขันคือ Honda NSF100 ซึ่งในสนามที่สองที่ผ่านมาซึ่งจัดการแข่งขันขึ้นที่สนามไทยแลนด์เซอร์กิต นครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ซึ่งในสนามนี้ผู้ชนะคว้าแชมป์สนามนี้ไปครองได้ก็คือ “น้องกัน” พชรกร ทองเกิดหลวง ที่เข้าป้ายมาเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยอันดับสอง “น้องจิมมี่” บูรพา วันมูล และอันดับที่สามที่ตามขึ้นโพเดียมมาได้สำเร็จคือ “น้องไบรท์” เตชินท์ อินทร์อภัย ซึ่งล้วนแต่เป็นนักบิดตัวจิ๋วที่ฝีมือเกินตัวของโครงการทั้งสิ้น โดยเฉพาะเจ้าของตำแหน่งแชมป์ของสนามนี้อย่างน้องกันนั้น สามารถคว้าตำแหน่งมาครองได้ในวัยเพียงแค่สิบขวบเท่านั้นเอง ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ที่น้องได้รับจากโครงการไม่ว่าจะเป็นการฝึกสอนทักษะการขับขี่ถูกต้องและปลอดภัย รวมไปถึงการได้รับประสบการณ์ยืนบนโพเดียมตั้งแต่วัยเพียงเท่านี้มันจะเป็นการจุดประกายและสร้างแรงผลักดันให้เขาก้าวไปสู่สนามแข่งระดับโลกได้ในอนาคต และนอกจากจะเป็นประโยชน์กับตัวเด็กเองแล้วมันยังเป็นการส่งต่อแรงบันดาลใจไปสู่เด็กคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกันทั่วประเทศอีกด้วย ต้องบอกว่าความสำเร็จของตัวน้องกันนั้นมันทำให้เห็นว่า โครงการส่งเสริมนักบิดรุ่นจิ๋วอย่าง “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” นั้นมีประโยชน์มากเพียงใด

มาร์ค มาร์เกซเดินหน้าต่อสัญญา เอชอาร์ซี 4 ปี นับเป็นข่าวดีของทีม Honda

หากกล่าวถึงนักบิดอันเป็นสุดยอดจากผลงานแชมป์ของรายการ MotoGP แฟนกีฬารถแข่งคงจะต้องนึกถึงหนุ่มคนนี้ “มาร์ค มาร์เกซ” สุดยอดนักบิดแดนกระทิงดุชาวสเปน ด้วยวัย 27 ปีกับดีกรีไม่ธรรมดา ซึ่งจริง ๆ แล้วในปี 2020 นี้สัญญาเดิมของมาร์เกซกับทีม เอชอาร์ซี หรือชื่อเต็มก็คือ Honda Racing Corporation จะหมดลงพอดี แต่มีข่าวดีสำหรับแฟน ๆ ที่คอยเชียร์ทีมนี้อยู่ เพราะว่า มาร์ค มาร์เกซ ตกลงจรดปากกาเซ็นเอกสารสัญญาอยู่กับทีมต่อเนื่องไปอีก 4 ปี ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีของทีมและแฟน ๆ ที่คอยส่งกำลังใจเชียร์ทีมนี้อยู่เช่นกัน มาร์เกซ ซาบซึ้งใจในทีมและประทับใจในการต้อนรับอย่างอบอุ่น การที่มาร์ค มาร์เกซตัดสินใจต่อสัญญากับทีมเอชอาร์ซี ส่วนหนึ่งก็เพราะตัวเขาเองรู้สึกดีกับทีม ทั้งรับรู้ได้ถึงความจริงใจ ความเป็นมืออาชีพในการทำงาน รวมไปถึงความอบอุ่นดูแลกันอย่างครอบครัวของทีมนี้ จึงทำให้เขาตัดสินใจต่อสัญญาไปได้อย่างไม่ลังเล ซึ่งทางมาร์ค มาร์เกซเปิดเผยว่า Honda Racing Corporation เป็นทีมที่ให้โอกาสผมในหลาย ๆ  อย่าง และเป็นทีมที่พร้อมผลักดันผมให้ก้าวไปสู่การเป็นนักแข่งในรายการใหญ่อย่าง MotoGP ซึ่งปีแรกที่ผมได้รับโอกาสก็คือ ปี2013 ซึ่งในปีแรกที่เริ่มทำงานใหญ่ไปด้วยกัน เราทั้งหมดสนุกกันมากและเราก็ประสบความสำเร็จกันเป็นอย่างดีด้วย

อเล็กซ์ อัลบอน นักแข่งรถลูกครึ่งไทย-อังกฤษ ที่สั่นสะเทือนวงการ F1

ในนาทีนี้วงการแข่งรถไม่มีใครไม่รู้จัก อเล็กซ์ อัลบอน นักแข่งรถลูกครึ่งไทย-อังกฤษ ที่มีอายุเพียง 23 ปี สมาชิกทีม Toro Rosso ที่ประสบความสำเร็จจากการแข่งรถ F-1 รุ่นจูเนียร์ ซึ่งเป็นการแข่งรถในเวทีระดับสุดยอดของโลกความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้ทีม Toro Rosso ได้รับการยอมรับว่ามีนักแข่งรถที่มีความสามารถมีความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ เป็นคนไทยอีกคนหนึ่งซึ่งได้รับการยอมรับจากนานาชาติ สร้างความภาคภูมิใจให้แก่คนไทย และวงการมอเตอร์สปอร์ต เส้นทางสู่เส้นชัย จากสายเลือดนักแข่งรถที่ได้จากบิดา จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าแรงบันดาลใจและความมุ่งมั่น ที่เกิดจากความรักเส้นทางสายนักแข่ง เมื่ออายุ 8 ปี เขาได้ลงแข่งรถโกคาร์ทในประเทศอังกฤษซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา หลังจากนั้นเขาได้ ลงแข่งรถโกคาร์ดอีกหลายสนามจนสามารถคว้าแชมป์ยุโรปและแชมป์โลกในคลาส KF3 เขาจึงตั้งความฝันว่าเขาจะต้อง เข้าร่วมการแข่งขันรถฟอร์มูล่า 1 ในฐานะนักแข่งให้ได้ เขาได้ทำการฝึกซ้อมและเข้าร่วมแข่งขันอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 2012 ทีมเรดบูล เรซซิ่ง ได้เซ็นสัญญากับ อเล็กซ์ อัลบอน ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 16 ปี โดยได้ลงโปรแกรมแข่งขันประเภทเยาวชนครั้งแรกในรายการ ฟอร์มูล่า เรโนลด์ 2.0 แต่ก็เกิดปัญหาการปรับตัวกับการแข่งรถในรูปแบบใหม่ ซึ่งเขาไม่สามารถเก็บคะแนนในการแข่งขันได้เลย ถือว่าเป็นปีที่แย่ที่สุดเพราะผลงานในสนามเป็นตัวชี้วัด ทำให้การสนับสนุนอเล็กซ์ของทีมเรดบูลเพียงแค่เวลาปีเดียวเท่านั้น ก้าวสู่สนามความเร็วระดับโลก